เพชรที่มีคุณค่ามากจะต้องใสสะอาดหมดจด ไม่มีตำหนิหรือร่องรอยตำหนิใด ๆ ปรากฎให้เห็น แต่เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าธรรมชาติเป็นผู้รังสรรค์เพชรขึ้นมา ในขณะที่ธาตุคาร์บอนกำลังก่อตัวเป็นรูปผลึกเพชรภายใต้อุณหภูมิ (High Temperature) และความกดดัน (High Pressure) มหาศาลใต้พื้นผิวพิภพ ในระหว่างนั้นก็อาจมีผลึกของแร่ชนิดอื่นตกค้างอยู่ภายใน ทำให้มองเห็นเป็นสิ่งแปลกปลอมซึ่งเรียกว่า "ตำหนิ” (Inclusion) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจะแสวงหาเพชรที่ไร้ตำหนิภายในใด ๆ เลยนั้นถือเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แต่ก็มีปรากฎให้ได้เห็นกันบ้างไม่มากนัก
ความใสสะอาดก็เป็นองค์ประกอบสำคัญประการที่สองที่ส่งผลต่อความสวยงามและมูลค่าเพชร ถัดจากเรื่องสีความขาวของเพชรที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นอันดับแรก
เพชรที่มีคุณภาพด้านความสะอาดขั้นสูงสุดจะต้องไม่พบเห็นตำหนิใด ๆ เลย ซึ่งหาได้ยากมากและมีราคาสูงมาก แต่ก็เป็นที่ปรารถนาของผู้คนเป็นอย่างมากด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการนำไปประดับบนตัวเรือนในพิธีแห่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นการหมั้นหรือสำหรับพิธีสมรส ก็เพื่อสื่อความหมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ที่ปราศจากมลทินใด ๆ หรือเพื่อบ่งบอกถึงรสนิยมของผู้ครอบครอง
เพชรเกือบทุกเม็ดจะพบเห็นตำหนิภายในได้ซึ่งถือเป็นเรื่องปรกติ โดยอาจจะมีตั้งแต่ตำหนิจำนวนน้อยถึงจำนวนมาก ตั้งแต่การเห็นตำหนิได้ยากมากจนถึงเห็นตำหนิได้อย่างชัดเจน
เพชรจะมีมูลค่าสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับปริมาณตำหนิที่สามารถเห็นได้ ตำหนิยิ่งเห็นได้ยากและมีตำหนิจำนวนยิ่งน้อยก็ยิ่งถือว่ามีคุณภาพดี
ตำหนิถือเป็นข้อเสียสำหรับการประเมินคุณภาพเพชร จึงควรเลือกเพชรที่มีตำหนิน้อยที่สุด หรือตำหนิที่มองเห็นได้ยากที่สุด
ลักษณะตำหนิที่พบเห็นในเพชร
ตำหนิที่พบเห็นในเพชรมีทั้งที่อยู่ภายในเนื้อเพชรและบริเวณผิวภายนอก ตำหนิบางชนิดอาจเกิดกินลึกจากผิวเข้าไปในเนื้อเพชรซึ่งถือว่าเป็นข้อเสียมากกว่า จึงควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำหนิที่เป็นรอยแตกร้าวที่พาดจากขอบด้านหนึ่งไปยังขอบอีกด้านหนึ่ง เพราะจะทำให้ความคงทนของเพชรเม็ดนั้นลดลง อาจจะแตกออกเป็นชิ้นได้หากถูกกระทบกระแทกโดยบังเอิญ ตำหนิภายในมักจะเป็นตำหนิที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่สามารถพบเห็นได้บ่อย คือ
ผลึกใส (Crystal)
ตำหนิคล้ายรูปขนนก (Feather)
ผลึกเล็ก ๆ ที่อยู่รวมตัวกัน (Cloud)
ตำหนิเส้นตรงใส (Grain Line)
ตำหนิเส้นตรงใส (Grain Line)
รอยแตกภายใน (Fracture)
ส่วนตำหนิที่ปรากฏให้เห็นภายนอกเรียกว่า “Blemish” เป็นตำหนิที่อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ก็เป็นได้
ตำหนิภายนอกที่เกิดตามธรรมชาติ ซึ่งอาจปรากฏให้เหินในเพชรบางเม็ด ได้แก่
- เหลี่ยมธรรมชาติ (Natural) มีลักษณะเป็นระนาบภายในเนื้อเพชร ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะปรากฎให้เห็นเมื่อเจียระไนถูกบริเวณระนาบภายในจนเกิดเป็นเหลี่ยมขึ้น
- ร่องรอยรูปสามเหลี่ยม (Trigon) อาจพบเห็นได้ในบริเวณธรรมชาติ เป็นลักษณะที่พบเห็นได้ในเพชรเท่านั้น
ตำหนิภายนอกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ เป็นผลจากการเจียระไนที่ขาดคุณภาพหรือขาดความระมัดระวังในการจัดเก็บ ได้แก่
- รอยสึก (Abrasion) เป็นข้อบกพร่องที่เกิดจากการเสียดสีตามเหลี่ยมมุมของเพชร
- รอยเส้นที่เกิดจากจานเจียร (Polish Line) เป็นเพราะช่างเจียรไม่ได้ขัดเงาให้เรียบร้อย อันอาจจะเป็นเพราะการต้องพยายามรักษาน้ำหนักเพชรให้ได้มากที่สุดเท่านั้นเอง
- รอยขนแมว (Scratch) เป็นรอยขีดข่วนที่เกิดจากการเสียดสีกันของเหลี่ยมมุมเพชรที่จัดเก็บรวมกัน
- รอยแตกเล็ก ๆ ที่ขอบเพชร (Bearding) เกิดจากแรงกระแทกของเพชรกับจานเจียรขณะทำการเจียระไน
- รอยไหม้ที่ผิว (Polish Mark) เป็นข้อบกพร่องจากการเจียรที่ขาดความระมัดระวัง เนื่องจากได้รับความร้อนมากเกินไปขณะเสียดสีกับจานเจียร
- รอยขุ่นมัว ที่บางเหลี่ยมเพราะถูกละเลยในการชักเงา
ตำหนิภายนอกที่อาจเกิดได้จากธรรมชาติและมนุษย์ ได้แก่
- รูเล็ก ๆ (Pit) ซึ่งเกิดจากการเจียรถูกผลึกเล็ก ๆ ที่อยู่ในเนื้อบริเวณที่ติดกับผิวเพชรหลุดออกไป เหลือร่องรอยเป็นรูเล็ก ๆ ไว้ และตำหนิบางชนิดอาจเกิดบริเวณที่ผิวแต่กินลึกลงไปในเนื้อเพชร เช่นรอยแหว่ง (Cavity) และ รอยแตก (Fracture)
ตำหนิภายใน เรียกว่า “Inclusion”
ตำหนิภายนอก เรียกว่า “Blemish”
การแบ่งระดับคุณภาพความสะอาด
นักวิชาการด้านอัญมณีศาสตร์จากหลายค่ายไม่ว่าจะเป็นทางยุโรป สแกนดิเนเวีย หรืออเมริกาต่างพยายามจัดระดับมาตรฐานคุณภาพด้านความสะอาดของตนขึ้น เพื่อสื่อความหมายแก่ผู้เกี่ยวข้องในวงการค้าเพชร
การแบ่งระดับคุณภาพความสะอาดของ GIA แบ่งออกเป็น 11 ระดับ
ระดับที่ 1
ระดับที่ 2
|
FL
IF
|
Flawless (ไร้ตำหนิ)
Internal Flawless
(ปราศจากตำหนิภายใน)
|
ระดับที่ 3
ระดับที่ 4
|
VVS1
VVS2
|
Very Very Slightly Inclusions1
Very Very Slightly Inclusions2
(เห็นตำหนิได้ยากมาก ๆ)
|
ระดับที่ 5
ระดับที่ 6
|
VS1
VS2
|
Very Slightly Inclusions1
Very Slightly Inclusions2
(เห็นตำหนิได้ยากมาก)
|
ระดับที่ 7
ระดับที่ 8
|
SI1
SI2
|
Slightly Inclusions1
Slightly Inculsions2
(เห็นตำหนิได้ยาก)
|
ระดับที่ 9
ระดับที่ 10
ระดับที่ 11
|
I1
I2
I3
|
Imperfect1
Imperfect2
Imperfect3
(เห็นตำหนิได้ง่าย)
|
ระดับความสะอาด 2 ระดับ
เราสามารถแบ่งระดับความสะอาดตามความสามารถในการมองเห็นตำหนิของเพชร ได้เป็น 2 ระดับใหญ่ คือระดับ Loupe Clean และระดับ Eye Clean
ระดับที่ 1 Loupe Clean หมายถึง ระดับความสะอาด ระดับที่ 1 – 2 เพราะไม่สามารถมองเห็นตำหนิใด ๆ ภายใต้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า
ประเทศในอเมริกาเหนือและสแกนดิเนเวียจะใช้คำว่า “Flawless” เพื่อระบุระดับคุณภาพความสะอาดที่ปราศจากตำหนิทั้งภายนอกและภายใน และใช้คำว่า “Internally Flawless” สำหรับคุณภาพความสะอาดระดับรองลงมา เพื่อบ่งบอกถึงลักษณะที่ปราศจากตำหนิภายในแต่พบตำหนิภายนอกบางชนิดขนาดเล็ก
ระดับที่ 2 Eye Clean หมายถึงระดับความสะอาดระดับที่ 3 – 8 เนื่องจากเมื่อมองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นตำหนิแต่อย่างใด แต่สามารถมองเห็นตำหนิได้ด้วยกล่องกำลังขยาย 10 เท่า
ลักษณะมองเห็นตำหนิในระดับต่าง ๆ ด้วยกล้องขยายกำลัง 10 เท่า
ระดับที่ 1 : FL (Flawless) | จะไม่เห็นตำหนิทั้งภายในและภายนอก |
ระดับที่ 2 : IF (Internal Flawless) | ไม่เห็นตำหนิภายใน เห็นเพียงรอยขีดเล็กน้อยที่ผิวซึ่งสามารถชักเงาออกได้ ปราศจากตำหนิภายใน |
ระดับที่ 3 : VVS1 (Very Very Slightly Inclusions1) | เห็นตำหนิภายในได้ยากมาก ๆ และตำหนิมีขนาดเล็กมาก ๆ |
ระดับที่ 4 : VVS2 (Very Very Slightly Inclusions2) | เห็นตำหนิภายในได้ยากมาก ๆ และตำหนิมีขนาดเล็กมาก ๆ |
ระดับที่ 5 : VS1 (Very Slightly Inclusions1) | เห็นตำหนิภายในได้ยาก ตำหนิมีขนาดเล็ก |
ระดับที่ 6 : VS2 (Very Slightly Inclusions2) | เห็นตำหนิภายในได้ยาก ตำหนิมีขนาดเล็ก |
ระดับที่ 7 : SI1 (Slightly Inclusions1) | เห็นตำหนิภายในได้ง่าย ตำหนิมีขนาดเล็ก |
ระดับที่ 8 : SI2 (Slightly Inclusions2) | เห็นตำหนิภายในได้ง่าย ตำหนิมีขนาดเล็ก |
ระดับที่ 9 : I1(Imperfect1) | เห็นตำหนิภายในได้ง่ายมาก เห็นตำหนิเป็นจำนวนมาก ตำหนิมีขนาดใหญ่ |
ระดับที่ 10 : I2(Imperfect2) | เห็นตำหนิภายในได้ง่ายมาก เห็นตำหนิเป็นจำนวนมาก ลักษณะตำหนิมีผลเสียต่อประกาย เพชรดูขาวขุ่นเกือบ 30% ของพื้นที่ |
ระดับที่ 11 : I3(Imperfect3) | เห็นตำหนิด้วยตาเปล่า เห็นตำหนิเป็นจำนวนมาก ลักษณะตำหนิมีผลเสียต่อประกาย เพชรดูขาวขุ่นเกือบทั้งเม็ดและมีผลเสียต่อความคงทน อาจพบเห็นรอยแตกบิ่นที่ผิวอย่างชัดเจน |
หลักเกณฑ์การพิจารณาตำหนิ
ขนาดของตำหนิ ตำหนิที่มีขนาดเล็กมีผลเสียน้อยกว่าตำหนิที่มีขนาดใหญ่
ชนิดของตำหนิ ตำหนิรอยแหว่ง ตำหนิรอยแตกภายนอก ถือว่าเป็นข้อเสียมากกว่านำหนิที่เป็นผลึกที่อยู่ภายใน
จำนวนของตำหนิ จำนวนตำหนิมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งถือว่ามีคุณภาพดีเท่านั้น
ความเด่นชัดของตำหนิ ตำหนิที่มองเห็นเด่นชัดถือเป็นข้อเสียมาก เช่น ผลึกสีดำ เศษสนิมสีส้ม รอยแตกขาวขุ่น รอยแตกวาว เป็นต้น แม้จะมีปริมาณตำหนิมากแต่ถ้าเห็นได้ยากมาก ไม่มีผลกระทบต่อประกายแสงดีกว่ามีปริมาณตำหนิน้อย แต่เห็นได้ง่ายและเด่นชัด
ตำแหน่งของตำหนิ ตำหนิที่มองเห็นจากเหลี่ยมหน้ากระดานถือว่ามีความร้ายแรงมากกว่าตำหนิที่พบเห็นในตำแหน่งอื่น ตำแหน่งที่มีผลเสียรองลงมาคือ บริเวณเหลี่ยมคราวน์ จากนั้นก็เป็นบริเวณพาวิเลียนและสุดท้ายคือบริเวณเกอร์เดิล
เคล็ดลับ : การประเมินระดับคุณภาพความสะอาดของเพชรที่อยู่บนตัวเรือน นอกจากจะมีความยุ่งยากมากกว่าปรกติแล้ว จะต้องสังเกตบริเวณเกอร์เดิลที่มีหนามเตยยึดเกาะ เพราะมักเป็นจุดที่ช่างฝังเพชรจะซ่อนหลบตำหนิเอาไว้ หากเพชรมีรอยตำหนิอยู่
การพิจารณาระดับความสะอาดโดยละเอียด
จากประสบการณ์พบว่าการจัดระดับความสะอาดเพชรได้อย่างถูกต้องเหมาะสมจะต้องใช้ประสบการณ์ในการปฏิบัติเป็นเวลานาน แต่เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถฝึกฝนได้ด้วยตนเอง จึงขอให้ผู้อ่านพิจารณารายละเอียดของแต่ละระดับคุณภาพ ดังนี้
ระดับ FL | เมื่อพิจารณาด้วยกล้องกำลังขยาย 10 เท่า จะไม่เห็นตำหนิภายนอกและตำหนิภายในแต่อย่างใด หรือถ้าเห็นตำหนิจะต้องอยู่ในเงื่อนไขดังนี้
เหลี่ยมเกิน (Extra Facet) ต้องไม่เห็นจากด้านหน้า
เหลี่ยมธรรมชาติ (Natural) ต้องไม่ทำให้เสียรูปทรง
ลายเส้นใส ๆ ในเนื้อ (Internal Graining) ต้องไม่เห็นเด่นชัด
|
ระดับ IF | สำหรับความสะอาดระดับ IF อาจพบลักษณะเช่นเดียวกับชั้น FL แล้วจะพบตำหนิรอยขนแมว (Scratch on Surface) โดยจะต้องไม่เห็นอย่างเด่นชัด, รอยต้องไม่กินลึกลงไปในเนื้อและสามารถนำไปชักเงาออกได้โดยไม่มีผลต่อน้ำหนักเพชร |
ระดับ VVS | คุณภาพระดับนี้อาจพบตำหนิภายนอกชนิดรอยกะเทาะเล็ก ๆ ที่ขอบเพชรได้ แต่ต้องมองไม่เห็นจากด้านหน้า และไม่มีผลเสียต่อรูปทรงของเพชร
VVS1 เห็นได้เพียงผลึกขนาดเล็กมาก ๆ เห็นได้ยากมาก ๆ และต้องไม่เห็นตำหนิได้จากเหลี่ยมหน้ากระดาน
VVS2 สามารถเห็นผลึกขนาดเล็กมาก ๆ ได้ยากมาก ๆ โดยเห็นได้จากเหลี่ยมหน้ากระดาน
หลักง่าย ๆ ในการจัดระดับระหว่าง VVS1 กับ VVS2 คือ ตำแหน่งที่ตำหนิปรากฎให้เห็น จำนวนและขนาดตำหนิระดับ VVS1 จะเห็นได้ยากกว่า VVS2
|
ระดับ VS | ตำหนิที่มองเห็นก็ยังถือว่ามองเห็นได้ยากแต่ไม่ยากมาก เนื่องจากตำหนิมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น สามารถมองเห็นได้ง่ายขึ้นด้วยกล้องขยายเมื่อเทียบกับระดับ VVS
จำนวนตำหนิมีเพียงเล็กน้อยและมองเห็นไม่เด่นชัด ซึ่งระดับ VS1 จะมีผลึกที่มีขนาดเล็กและจำนวนน้อยกว่า VS2
แม้แต่ในห้องปฏิบัติการการแยกทั้งสองระดับนี้ค่อนข้างจะยากมากทีเดียว เนื่องจากต้องอาศัยประสบการณ์และวิจารณญาณของผู้ประเมินเป็นหลัก
|
ระดับ SI | สามารถมองเห็นตำหนิได้ง่ายด้วยกล้องขยายโดยใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาที ตำหนิมีจำนวนไม่มาก และตำหนิอาจจะมีขนาดเล็กถึงปานกลาง แต่ต้องมองไม่เห็นอย่างชัดเจนเมื่อมองด้วยตาเปล่า
การแบ่งระหว่างระดับ SI1 กับ SI2 จะใช้ปริมาณและความเด่นชัดของตำหนิมาเป็นข้อพิจารณา โดยทั้งสองระดับอาจสลับกันไปมาได้ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้ประเมิน
|
ระดับ I | ระดับ Imperfect หรืออาจจะเรียกอีกคำว่า “Pique” (พีค) เป็นระดับที่สามารถเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่า และหากมองด้วยกล้องขยายก็จะเห็นตำหนิภายในได้ง่ายมาก ๆ ระดับ I ถือว่าเป็นระดับที่ต่ำที่สุด แต่ก็ยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับย่อยได้ ดังนี้
ระดับ I1 : เนื่องจากตำหนิที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ได้มีรูปแบบ (Pattern) ที่แน่นอน จึงต้องกำหนดเกณฑ์ได้ 3 แบบ คือ
แบบ A : มีตำหนิภายในจำนวนไม่มากแต่มีรูเล็ก ๆ ที่ผิว (Pit) หรือมีรอยแตกขนาดเล็กมากที่ผิวบนด้านหน้า
แบบ B : มีตำหนิสีเข้ม (Colored Inclusion) เป็นจำนวนน้อยถึงปานกลาง แต่เห็นชัดด้วยตาเปล่าหรือเห็นง่ายมากด้วยกำลังขยาย 10 เท่า
แบบ C : มีผลึกขนาดเล็กถึงปานกลาง มีจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วทั้งเม็ด มีตำหนิคล้ายรูปขนนก (Feather) ขนาดเล็กถึงปานกลางในปริมาณน้อยและมีรูหรือรอยแตกที่ผิวทางด้านหลังเพียงเล็กน้อย
ระดับ I2 : ตำหนิที่ปรากฎส่งผลเสียต่อประกายเพชรในระดับปานกลาง ทำให้เพชรดูขาวขุ่นเกือบ 30% ของพื้นที่ มองเห็นผลึกขนาดเล็กถึงใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป มีรอยแตกภายในขนาดเล็กถึงใหญ่เป็นจำนวนน้อย และหรือมีรอยแตกที่ผิวเพียงเล็กน้อยทางด้านหน้า
ระดับ I3 : ตำหนิมีผลเสียต่อประกายมากทำให้เพชรดูขาวขุ่นเกือบทั้งเม็ดและมีผลเสียต่อความคงทน
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น